หนังสือเด็ก บ้านของเราสวยงามเหลือเกิน
บ้านของเราสวยงามเหลือเกิน
ไม่ใช่สิ
หนังสือประกอบภาพสำหรับเด็กเรื่องนี้สำคัญที่ประโยคแรกบนหน้าปก “เมื่อมองย้อนกลับมาฉันจึงรู้ว่า” แล้วจึงตามด้วย “บ้านของเราสวยงามเหลือเกิน”
ยิ่งไปกว่านั้น
หนังสือเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “ฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”
เป็น non-fiction children picturebook จึงมิได้ใช้ตัวละครในการดำเนินเรื่อง แต่ใช้ “การมีส่วนร่วม” ในการเล่าเรื่อง
น่าสนใจมากว่าโดยทั่วไปนักอ่าน (คือเด็กๆในกรณีนี้) ควรเป็น “ฉัน” แต่เมื่อเริ่มต้นด้วย ฉันจากโลกนี้ไปแล้ว เด็กโตที่รู้ความรวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่อ่านให้ฟังย่อมไม่ยอมเป็น ฉัน ง่ายๆ เป็นความไม่เป็นไปตามขนบที่น่าสนใจ และได้ผลในการดึงดูดตั้งแต่ประโยคแรกของหน้าแรก “ใครจากโลกนี้ไปแล้ว”
หนังสือเล่าเรื่องโลกของเราหลากหลายแง่มุมด้วยภาพประกอบที่เข้าถึงเด็กได้ง่ายด้วยความยุ่งเหยิงและการลงสีแจ่มชัด ทบทวนว่าเด็กมองภาพทั้งหมดสองวิธี วิธีแรกพบบ่อยกว่าคือการมองตรงกลางหรือภาพที่เด่นที่สุด (เช่น วาฬ) จากนั้นจะซูมออกซูมเข้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง (เรียกว่า object relation)
อีกวิธีที่พบน้อยกว่าคือการดูภาพด้วยการสแกนจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย และอาจจะแวะดูทีละตารางนิ้วอย่างละเอียดตั้งแต่แรก เด็กกลุ่มนี้อาจจะมีอุปสรรคในการเรียนบ้าง แต่ถ้าเขามิได้รับประสบการณ์อ่านนิทานก่อนนอนเลย เขาจะยิ่งพัฒนาวิธีอ่านหรือดูรูปภาพได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก
จึงว่าควรอ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน
กลับมาที่เนื้อเรื่องอีกที ดังว่าคนเล่าจากไปแล้ว ที่มาเล่านี้เพราะเสียดายเวลาครั้งที่อยู่ ก็คือเวลานี้ที่พวกเรายังอยู่
ทำไมเรามองไม่เห็นอะไรทั้งหมดนี้ “ทั้งที่เห็นอยู่ทุกวัน” ทำไม่ไม่เห็นตอนยังอยู่ เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ชัดเจนว่าอยากให้เราเห็นเสียแต่วันนี้ มิใช่จากไปแล้วค่อยเห็น
เห็นอะไร ก็เห็น “ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง” นั่นแหละ
อันที่จริงอยากเห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งจำเป็นต้องออกจากบ้านไปธรรมชาติ รร ต่างๆจึงควรพาเด็กไปหาธรรมชาติให้มาก
พบแมลงประหลาดสักตัวแล้วลองถามว่า “พระเจ้าจะสร้างเจ้าตัวนี้มาทำไม”
พบนกที่งดงามจนเหลือเชื่อสักตัวแล้วลองถามว่า “วิวัฒนาการแบบไหนที่ทำให้ต้องมีนกสวยสิ้นเปลืองอะไรขนาดนี้”
แม้แต่ไปดูวาฬสักครั้งแล้วถามว่า “มันเกิดมาทำไม มีประโยชน์อะไรกับโลก”
เพียงรู้จักตั้งคำถามก็เกิดความคิดคำนึงแล้ว “เราควรมีท่าทีต่อสรรพสิ่งอย่างไร?”
กลับมาที่หนังสือเล่มนี้อีกที วิธีวาดมีสองวิธี
หนึ่งคือวางรูปอะไรสักอย่างลงไป อะไรสักอย่างนั้นจิตวิเคราะห์เรียกว่า object เท่านี้ก็สร้างโลกได้แล้ว เด็กๆสร้างโลกด้วยวิธีนี้
สองคือเขียนรูปให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างอะไรสักหลายอย่างที่วาดลงไป จิตวิเคราะห์เรียกว่า relation เพียงเท่านี้โลกก็มีชีวิต เด็กๆสร้างชีวิตด้วยวิธีนี้
โลกที่ static จึง dynamic หนังสือลักษณะนี้มีความตั้งใจทำให้เด็กๆเห็นพลวัต
สำเร็จไหม
ลองดูหน้าท้ายๆ เราจะเห็นร้านฟิชแอนด์ชิปและแฮปปี้อาวร์ตั้งบนน้ำเฉยๆ ด้านขวา เปรียบเทียบกับถุงพลาสติกสีขาวปลิวว่อนด้านซ้าย เด็กๆย่อมฉงนแฮปปี้อาวร์ทำอะไร แล้วถุงพลาสติกทำอะไร เกี่ยวอะไรกับน้ำดำล่างสุดนั้น?
แนะนำเลยครับ ภาพสวยมาก
วิรตี ทะพิงค์แก
บอนเน่ แสงสุวรรณ
#childrenpicturebooks